Search


เรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิตเรา หวังว่าคงทำให้...

  • Share this:


เรื่องราวส่วนหนึ่งของชีวิตเรา หวังว่าคงทำให้คนที่กำลังท้อแท้ รู้สึกดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย :-)

ข้อความนี้อาจจะยาวหน่อย แต่เพราะช่วงนี้รอบๆตัวมีแต่คนท้อแท้แล้วก็เจอปัญหาในชีวิต ถ้าได้ผ่านเข้ามาอ่านก็อยากจะแชร์ประสบการณ์แย่ๆกับวิธีการสร้างกำลังใจให้ตัวเองแบบจริงๆ แต่อาจจะพิมพ์มึนๆหน่อย 555555 ซึ่งแน่นอนก่อนจะพิมพ์ก็เตรียมใจรับความหมั่นไส้ของผู้ที่ไม่อินกับอะไรแบบนี้ หรือผู้ที่เคยตราหน้าเราว่าเป็นไอ่ห่วยเอาไว้แล้ว

จริงๆแล้วเราก็เป็นคนนึงที่มีชีวิตเหมือนเด็กปกติมาจนช่วงม.ปลาย ฐานะทางบ้านปานกลางแบบคนธรรมดาไม่เคยคิดว่าชีวิตตัวเองจะต้องพยายามอะไร ตอนนั้น ม.4 กำลังเพ้นท์คัทเอ้าท์กีฬาสีอยู่ที่โรงเรียน แม่ก็โทรมาร้องไห้เล่าถึงเรื่องราวต่างๆทางบ้านที่ไม่เหมือนเดิม ทั้งเรื่องการเงินและครอบครัว หลังจากช่วงนั้นชีวิตแต่ละวันก็ไม่อยากทำอะไรเลย เอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเราหรอ (ทั้งที่จริงแม่งไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย)

..ย้อนกลับไปตอน ม.ต้นเราเรียนห้อง Gifted รร.สามเสนวิทยาลัย ได้เกรด 3 ปลายๆจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่พอจบม.3 ปั๊บก็ออกเลย เพราะไม่อยากโดนตัดผมแล้ว อยากซอยผม อยากเรียนสบายๆ ออกเองโดยไม่บอกแม่ แล้วก็ย้ายไปสอบที่ใหม่เรียนห้องศิลป์-คำนวณ รร.อัสสัมชัญศึกษา (ไม่)จบม.4 ด้วยเกรด 0.2 เพราะไปรร.อาทิตย์ละ2วัน ไม่เคยส่งงานซักวิชา 55555555555555

.. กลับมาที่หลังจากรู้เรื่องในครอบครัวทั้งหมดแล้ว เราก็ลาออกจากรร.อัสสัมอีก ไม่อยากไปไหนอยากนอนเฉยๆไม่อยากขยับตัว กลายเป็นคนไม่มีโรงเรียน ไม่มีเพื่อนเพราะทุกคนเรียนหนังสือหมด เพื่อนคนเดียวที่สนิทที่สุดตอนม.ปลายก็ห่างกันไปเพราะเราออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย ไม่มีพ่อไม่มีแม่อยู่ในชีวิตช่วงนั้น เพราะเค้าเองก็กำลังเจอปัญหาใหญ่ที่เค้าต้องแก้

เราเลยตัดสินใจเอาเงินเก็บไม่ถึง 1000 ไปซื้อเคสเปล่ามาไม่กี่อันมาลองวาดเล่นละลง ig ดูหลังจากวันนั้นก็ค่อยๆขายเก็บเงินได้จำนวนนึง บอกเลยว่าลายเส้นเหี้ยมากสงสารคนที่ซื้อไปทุกคนในช่วงนั้น แต่ก็พยายามสุดความสามารถ ณ ตอนนั้นแล้วจริงๆ 5555 ..พอเก็บเงินได้เกือบ 20,000 ก็ออกจากบ้าน(ที่อยู่คนเดียวอยู่แล้ว) มาเช่าคอนโดอยู่เดือนละ 5,000 แต่แม่งไกลมากไปไหนลำบากเหลือเกินแต่ย้ายมาเพราะอยากอยู่คอนโดเดียวกับเพื่อนสนิท 55555 สุดท้ายก็ทำงานเก็บเงินวาดนู่น ขายนี่อยู่ 3-4 เดือน ..ก็ย้ายไปเช่าคอนโดติดรฟฟ.สาทรเลย ค่าเช่ารวมค่าน้ำไฟเดือนละ 20,000 ชิบหายล่ะทีนี้ต้องทำงานเดือนละกี่บาทวะ ถึงจะพอค่าอยู่ค่ากิน แต่ก็แลกกับความสะดวกสบายในการเดินทาง เคยลำบากและจนที่สุดคือตอนเงินค่าจ้างที่คิดว่าจะได้จากบริษัทใหญ่บริษัทนึงแม่งออกเลทด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ แต่ไม่มีการบอกล่วงหน้าใดๆ เรารวบรวมเหรียญในห้องกินข้าว

..2-3 ปีนั้น (ตอนนั้นอายุ 16-18) ย้อนกลับไปคิดดูแล้วตัวเองเหมือนคนบ้าเลย ชอบสร้างความเศร้า,ความท้อแท้ให้ตัวเอง ชอบดูอะไรเศร้าๆแล้วอินกับมัน เป็นความรู้สึกแบบ'เออมันเศร้าดีเนอะ กูก็เศร้า อินจังเลย' แล้วก็จมอยู่อย่างงั้น นอนอยู่ในห้องคนเดียว ปิดไฟให้มืดๆ ไม่ชอบแสง ไม่ชอบทีวี ไม่อยากไปไหนกลางวัน ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน และไม่ดื่มเหล้า แต่ชอบเอางานออกไปทำตามร้านกาแฟที่เปิด 24 (รอดมาได้นี่ถือว่าบุญมากๆตอนนี้ไม่เอาอีกแล้ว 555)
..ชอบนอนร้องไห้คนเดียวคิดถึงครอบครัวแต่ก่อน แล้วคิดว่าทำไมปัจจุบันมันเป็นอย่างงี้ ร้องไห้หาแต่ความสมบูรณ์แบบของทุกอย่างรอบๆตัว
..เกลียดความป่วยของมนุษย์บนโลก internet จนอ่านแล้วเก็บมาคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนสมัยนี้ อยากจะเปลี่ยนมันจนคิดแล้วเครียด เป็นคนจริงจังและ sensitive กับทุกๆอย่างมากจนเกินพอดี แล้วเอามันมาถ่วงชีวิต
..ไม่ชอบเจอผู้คนแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเหงา ..เหงา ตอนนั้นที่รู้สึกมันไม่ใช่เหงาแบบคนอกหักอยากมีแฟน แต่มันไม่มีใครเลยซักคนจริงๆ จนต้องไปหาจิตแพทย์หวังว่าจะได้พูดคุยกับใครซักคน แต่ก็ไม่ได้เหี้ยอะไรเลยนอกจากยานอนหลับให้กินทีละครึ่งเม็ดก่อนนอน

"สิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิตตอนนั้นคือการไม่ได้ไปสอบเข้าศิลปากร เพราะวุฒิมปลายไม่มี ที่มีอยู่เป็นวุฒิสอบเทียบของอินเตอร์ ไม่สามารถใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐได้ .. จะเข้าเอกชนก็รู้สึกว่าหนักเกินไปที่จะต้องหาค่าเทอมไปด้วยพร้อมค่าเช่าคอนโดและทำงานไปด้วย .. แต่เราก็เลือกแล้วก็ต้องทำต่อไป

เราจมอยู่อย่างงั้นนาน 3 ปีได้ ชีวิตที่ทุกคนเห็นว่ามีความสุขบน ig หรือดูอยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป ดูมีเพื่อนฝูง คนกดไลค์เยอะ หรือยอด follower ความจริงตอนนั้นคือไม่มีใครเลยเหงาๆมากๆจนเคยกินยานอนหลับไปหมดซองที่หมอให้มา ไม่ได้หวังจะตายแต่แค่อยากนอนนานๆซัก 2-3 วัน ทุกอย่างบนโลกโซเชียลแม่งคือ 0 ..คือสิ่งที่มีแต่คนอยากได้อยากมี แน่นอนสิ มันสร้างงานสร้างเงินได้มหาศาล แต่หลายคนไม่รู้จักวิธีการบริหารมันอย่างพอดี

..พอปีที่แล้วหลังจากเริ่มอยากดูแลใครซักคน ก็เริ่มมองหาแมว เล็งจากแมวที่คนจะทิ้งหรือไม่พร้อมจะดูแลหน้าตายังไงก็ได้ ก็กดไปเจอลูกแมวขาวตัวนึงบนเว็บบอร์ดไรไม่รู้ ตาลืมไม่ได้หนึ่งข้าง ดูเหมือนจะพิการ แต่เหลือตัวสุดท้าย เราก็รีบนั่งรถไปรับมาจากโชคชัย4 ฝนตกหนักด้วย รถก็ไม่มีนั่งแท็กซี่กลับห้องกับแมวอีกหนึ่งตัว ช่วงเดือนนั้นอดหลับอดนอน งานการไม่ได้ทำ ข้าวไม่ได้กิน ไม่รู้ว่าต้องเลี้ยงยังไงสะดุ้งตื่นมาเฝ้ามันทุกคืนว่าเราจะนอนทับมันมั้ย ตกเตียงไปรึเปล่า .. แต่ยิ่งโตยิ่งผ่านไปแต่ละเดือน แมวสีขาวล้วนก็ยิ่งหน้าดำขึ้นเรื่อยๆ ตาที่ลืมไม่ขึ้นหลังจากรักษาหยอดยาทุกวัน ก็เบิ่งตลอดเวลา 555555 เรารู้จักการดูแลโดยที่ไม่รู้ตัว จากไปไหนมาไหนก็เดียวก็เอามันใส่กระเป๋าหน้าไปด้วย ไม่ว่าจะทำงาน เดินเล่น ไปตจว ขึ้นเครื่อง 5555 นอกจากนั้นจะคิดจะเขียนงานอะไรก็ลื่นไปหมด มี inspiration วิ่งๆอยู่ในห้อง

..ค่อยๆทำงานเก็บเงินต่อไปอีกทั้งปี เริ่มกลับมาคุยกับแม่ เริ่มวางแผนชีวิตและงานใหม่ๆ แต่ความเครียดก็ยังไม่หมด นิสัยที่จริงจังกับทุกๆอย่างก็ยังอยู่เหมือนเดิม..

มาที่คำว่า Net Idol .. Net Idol แปลว่าอะไรวะ คนแม่งเรียกจังเลย แรกๆก็เฉยๆอยู่เพราะไม่รู้คืออะไร หลังๆมานี่โคตรเกลียดเลย ใครเรียนกหรือเขียนกำกับให้แทบอยากจะตีมือ ไม่เคยอยากเป็นหรือแต่งตั้งตัวเองเป็น net idol เลย เพราะภาพลักษณ์ของคำนี้หลังๆมันคือการทำเรื่องเสื่อมๆเพื่อแลกยอดไลค์หรือดึงความสนใจ ถึงแม้จะมีคนดีๆด้วยก็เถอะ แต่ก็ชอบอยู่ดี 555555

เราพยายามดึงตัวเองให้ออกจากคำนี้ให้ได้โดยอยากให้คนที่มาจ้างงานชอบเราที่งานของเรา จะดีหรือไม่ดีอย่างน้อยก็อยากให้ติแนะกัน ไม่ใช่หวังให้วาดไรก็ได้แต่ลงรูปโปรโมทให้ด้วย มันรู้สึกแย่มากๆ เหมือนเป็นแค่ตัวการตลาดที่ไม่มีค่าอะไรมากกว่านั้น

แต่พอปีนี้ให้อภัย ปล่อยทุกอย่าง และเลิกเสพติดความเศร้า พลังแม่งกลับมาจริงๆ บอกตัวเองตลอดว่าทุกอย่างคงมีเหตุผลของมันที่เป็นแบบนี้ .. พยายามใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีและมองมันในแง่บวก แต่ก็ไม่ทิ้งเจตนาเดิมของตัวเอง คุยกับคนมากขึ้น ที่สำคัญคือคุยกับแม่ทุกวัน ท้ายที่สุดแล้ว ความสุขแม่งขับเคลื่อนคนได้มากกว่าจริงๆ เวลาเพื่อนมาเล่าเรื่องความเศร้าหรือความรู้สึกท้อแท้ จะบอกเสมอว่าพยายามคิดแต่ว่าเราอยากจะเป็นอะไรในอนาคต ..แต่ทุกคนก็จะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้

'เรื่องของความเป็นไปไม่ได้จริงๆแล้วไม่มี' (ถ้าฝันอยู่บนเหตุบนผลนะ) ..พยายามคิดทุกวันว่าเราอยากไปยืนอยู่จุดไหน แล้วก็ทำนู่นทำนี่ไปด้วยระหว่างทาง เกี่ยวบ้างไม่เกี่ยวบ้างก็ทำทุกอย่าง ไม่เคยคิดจะปฏิเสธอะไรที่ไม่เคยทำเลย เพราะคิดว่าถ้าอยากทำเดี๋ยวก็พยายามหาวิธีทำได้เอง มันจะเป็นการแอคทีฟตัวเองให้ขัยบขึ้นไปทีละสเต็ปๆ ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ เพราะไฟมันยังอยู่พลังมันยังเต็ม100 แล้วก็มีเวลาเรียนรู้ข้อบกพร่องมากกว่าที่จะรอเวลา

ส่วนอีกข้อนึงที่คนชอบพูดตอกหน้าเรากลับมาคือ “มึงคนติดตามเยอะไง จะทำอะไรก็ง่าย จะขายอะไรคนก็เอา” อันนี้ฟังแล้วบอกตรงๆก็โมโหเล็กๆนะ แต่ช่างมัน 5555 ถามว่ามันมีส่วนมั้ยมันก็มีส่วน แต่เราเองก็เริ่มต้นจากไม่มีใครรู้จัก เป็นโนวันในโลกความเป็นจริง มีคนเคยเห็นแค่บน internet เพราะไม่ค่อยออกไปไหน แต่ที่มันทุกวันนี้ได้เพราะเคส 600 บาทเลยนะ 555555555 ก่อนจะขายเคสกระดาษ เราเองก็มีคนตามหลักร้อยถึงพันเหมือนกัน

สิ่งที่ทุกคนควรทำคือหยุดดูถูกตัวเองอะ เราไม่รู้ว่าคนอื่นๆจริงๆแล้วเป็นยังไงแต่แต่ละคนที่มาปรึกษาเราจะชอบดูถูกตัวเอง คิดว่าเราทำไม่ได้ เรากลัวเสี่ยง กลัวเงินจม แทนที่จะคิดว่าเราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา .. พอคิดแบบนี้ได้แล้วไม่หยุดคิด เรื่องดีๆจะค่อยๆเข้ามาในชีวิต ที่สำคัญคืออย่าใจร้อน เพราะทุกอย่างใช้เวลา

ข้อความของเราอาจจะเดิมๆเหมือนที่ผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่านได้เคยบอกเอาไว้ แต่เราอยากบอกกับคนรุ่นๆนี้ตั้งแต่เด็กเล็กๆที่พึ่งเริ่มเล่น facebook ไปถึงใครก็ได้ที่กำลังรู้สึกเหนื่อยหรือไม่รู้จะทำอะไร เราคิดว่าทุกคนเกิดมาเพื่อทำชีวิตตัวเองให้สนุกและ unique ไม่ใช่เพื่ออกหัก ท้อแท้ ห่อเหี่ยวอย่างเดียว ..เปลี่ยนนิสัยคนส่วนใหญ่ที่เห็นใครทำอะไรแล้วได้ดีก็ทำตาม เป็นสร้างสิ่งใหม่ๆกับตัวตนใหม่ที่เป็นของเราเองดีกว่า

สุดท้าย 4 ปีกว่าที่ผ่านมามันสนุกมากจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ก็หวังว่าทุกคนจะมีวันที่หันกลับไปมองความเศร้าของตัวเองเป็นการใช้ชีวิตที่แม่งมันส์ดี
ชีวิตงานที่แท้จริงของเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในปีนี้เป็นปีแรก ..สิ่งต่อไปที่อยากทำไปด้วยคือการรับฟังและให้คนอื่น เริ่มจากคนใกล้ๆตัว เพราะเราเชื่อว่าเวลาได้ให้มันมีความรู้สึกดีๆย้อนกลับมาเอง โดยที่เราไม่ต้องขอ แล้วมันจะส่งต่อคนทุกคนขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุด

จาก คนที่เคยเกลียดทุกคนบนโลกใบนี้แม้กระทั่งตัวเอง


Tags:

About author
not provided
illustrator | ศิลปะ | ถ่ายภาพ | ท่องเที่ยว | ไลฟ?
View all posts